วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โรงแรมน้องหมาสุดหรูแห่งแรกในปารีส


เมื่อวันที่25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมสุนัข
เปิดโรงแรมระดับห้าดาวสำหรับสุนัขเป็นแห่งแรกในกรุงปารีส มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ห้องนอนหรูหรา โดยโรงแรมแห่งนี้ เปิดให้บริการโดย สแตง บูรัง ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมสุนัขแห่งปารีส และเดวี่ ภรรยาสาว ก่อตั้งขึ้นเพื่อเอาใจคนรักสุนัขทั้งหลาย ที่อยากให้สุนัขได้รับการดูแลอย่างดี ทั้งอาหารการกิน ที่หลับที่นอน และกิจกรรมสารพัดประโยชน์ซึ่งบรรดาสุนัขที่มาพักที่นี่ จะได้รับการอำนวยความสะดวกและมีความเป็นอยู่ที่ดีมาก ไม่ว่าจะเป็น สระน้ำอุ่น สปา ซาลอน ฟิตเนส และยังมีกิจกรรมเดินวิ่งในสนามหญ้าโดยครูฝึก สแตง บูรัง มาเองอีกด้วย ส่วนที่หลับที่นอนไม่ต้องพูดถึง เป็นโซฟาและเตียงนุ่มอย่างดี มีสำหรับรองรับแขกน้องหมาทุกไซส์ ตั้งแต่ชิห์สุตัวจิ๋ว ไปจนถึงโกลเด้นรีทริฟเวอร์ตัวใหญ่เลยทีเดียว
สำหรับค่าที่พักสุดหรูที่นี่ สนนราคาอยู่ที่คืนละ 26-35 ยูโร หรือประมาณ 1,300 - 1,750 บาทต่อคืน แถมรับประกันอีกว่า สุนัขจะไม่นั่งเหงา หรือเซ็งแน่นอนหากมาที่นี่ เพราะทางโรงแรมจะไม่ขังสุนัขไว้ในห้อง หรือในกรงให้พวกมันอึดอัด แต่จะปล่อยให้มันได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีพี่เลี้ยงคอยดูแลอย่างใกล้ชิด งานนี้เรียกได้เลยว่า สำหรับคนรักสุนัขแล้ว คุ้มยิ่งกว่าคุ้มเลยทีเดียวเลย

ฮือฮา! ศิลปินอเมริกัน ใช้ตะปูเกลียววาดภาพ


ศิลปินหนุ่มชาวอเมริกันใช้ความอุตสาหะ ในการสร้างภาพเหมือนด้วยตะปูเกลียวมานาน 2 ปี
แอนดรูว์ มายเออร์ วัย 31 สร้างภาพเหมือนของเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวด้วยการตอกตะปูเกลียวลงบนแผ่นไม้ สร้างความประทับใจแก่ผู้ที่ได้เห็น โดยภาพ 3 มิติแต่ละภาพนั้นเขาใช้เวลามากกว่า 6 เดือน และใช้ตะปูถึง 10,000 ตัว
ศิลปินชาวออเรนจ์เคาน์ตี แคลิฟอร์เนีย รายนี้เผยว่า เขาได้ความคิดนี้ระหว่างทำงานสร้างภาพบรอนซ์นูนต่ำนักบุญแคเธอรีนที่โบสถ์ เมื่อ 2 ปีก่อน แต่งานศิลปะที่เขาคิดค้นขึ้นเองนี้ ต้องหลังขดหลังแข็งพอดูก่อนจะสร้างงานแต่ละชิ้น โดยบางชิ้นสูงถึง 1.2 เมตร เขาต้องนำแผ่นไม้มาเจาะรู ซึ่งก็ต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ จากนั้นจึงนำตะปูใส่เข้าไป เช็กตำแหน่ง ก่อนจะบรรจงตอกตะปูทีละตัว "ผมทำงานโดยดูภาพถ่าย แต่ผมก็ต้องพบกับเจ้าของภาพต้นแบบด้วยเหมือนกัน เพื่อให้แน่ใจว่าโครงสร้างใบหน้าไม่ผิดเพี้ยน" ที่ผ่านมาเขาขายผลงานขนาด 60 เซนติเมตรไปแล้ว 5 ชิ้น ในราคาชิ้นละ 275,000 บาท ส่วนชิ้นที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 ชิ้น ขายได้มากกว่า 1,075,000 บาท
ดูราคาแล้วอาจจะสูง แต่มายเออร์บอกว่า เทียบกับค่าแรงและค่าอุปกรณ์ที่ต้องใช้ตะปูจำนวนมหาศาลแล้ว ถือว่าไม่แพง
"งานศิลปะแบบนี้มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใครที่ทำให้ผมยังอยากทำมันต่อไป แต่การผลิตงานแต่ละชิ้นใช้เงินทุนมากจนไม่คุ้มในแง่รายได้ตอบแทน แต่มันก็เป็นการลงทุนลงแรงเพื่อสิ่งที่ผมรัก"

Nazi Film's first three-dimensional world.


Neu Aussie film production. Nazi forces found a movie producer's first three-dimensional world. Back to study the filming of the Nazi propagandize. Rice, the third kingdom in 1936
(Census 2479).
Philip backpacks Privilege Neu Australian Film disclosed that they have discovered 3-D films, 35 mm produced by the staff of the army Nazi propaganda during World War 2 when the year 1936 (M. . since 2479) with the film is called "So real you can touch" and "Six Girls Roll Into Weekend", which is considered the Nazi army is very advanced at that size three-dimensional filmmaking has long been out Privilege. also revealed that ". The quality of the film is still very sharp. And self-belief that the Nazis are crazy about them in recording everything really.

ไอเดียเก๋! ผลิตไอศกรีมนมคนเพื่อเด็ก ๆ

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า เจ้าของร้านไอศกรีมแห่งหนึ่งในลอนดอน ปิ๊งไอเดียเก๋ ผลิตไอศกรีมนมคน เพื่อให้เด็ก ๆ ได้รับคุณค่าทางอาหารจากนมแม่อย่างเต็มที่
โดยเมนูไอศกรีมนมคนนี้ มีชื่อว่า เบบี้ กาก้า เป็นไอเดียที่เปี่ยมไปด้วยคุณประโยชน์ ที่ริเริ่มโดย
แมตต์ โอคอนเนอร์ ซึ่งเขาได้ประกาศรับบริจาคน้ำนมจากแม่ลูกอ่อนในลอนดอน แล้วนำมาทำเป็นไอศกรีมนมคน ที่มีรสชาติเอร็ดอร่อยไม่ต่างจากไอศกรีมรสอื่น ๆ ซึ่งโอคอนเนอร์จะให้ค่าตอบแทนบรรดาคุณแม่ที่มาบริจาคนมเป็นจำนวนเงิน 750 บาทต่อ 1 ออนซ์ และเขาได้เปิดเผยว่า มันน่าแปลกที่ไม่มีใครคิดจะทำไอศกรีมนมคนขึ้นมาเลย ทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ ก็รู้ว่านมแม่นั้นมีประโยชน์มากแค่ไหน เด็ก ๆ จำเป็นต้องทานนมแม่ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเติบโตขึ้นแล้ว หากได้ทานนมแม่ก็ถือว่า เป็นการเพิ่มคุณประโยชน์ให้กับร่างกายเช่นกัน เรียกว่าเมนูนี้เป็นเมนูที่อุดมไปด้วยสารอาหารและคุณประโยชน์
ส่วนเรื่องความปลอดภัยนั้นก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะจะมีการตรวจสุขภาพแม่ลูกอ่อนที่มาบริจาคน้ำนม โดยโรงพยาบาลชั้นนำ และเขาเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เมนูไอศกรีมนมคนนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี และเป็นที่นิยมมาก โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ชื่นชอบไอศกรีม รวมไปถึงผู้ใหญ่ก็สามารถสั่งเมนูนี้มาทานได้เช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ตะลึง! กระเป๋าเงินที่แพงที่สุดในโลก


กินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด จดบันทึกสถิติ กระเป๋าเงินที่ราคาแพงที่สุดในโลก ให้กับกระเป๋าเงินเพชรมูลค่าเฉียด 4 ล้านดอลลาร์ ในงานแสดงเพชรและนาฬิกาของร้านเพชร Mouawad ที่จัดขึ้น ณ นครดูไบ
โดยกระเป๋าเงินสุดหรูนี้ มีชื่อว่า "The Mouawad 1001 Nights Diamond Purse" ผลงานของร้านเพชร Mouawad ที่ทำกระเป๋าเงินเลอค่านี้ขึ้นมาล่อตาล่อใจบรรดาอภิมหาเศรษฐีโดยเฉพาะ โดยกระเป๋าเงินใบนี้ ประกอบด้วยทอง 18 กะรัต และเพชร 4,517 เม็ด หนัก 381.92 กะรัต ต้องใช้ช่างฝีมือมากกว่า 10 คน และใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 8,800 ชั่วโมงกว่าจะออกมาเป็นรูปทรงสวยงามประณีตอย่างที่เห็น ส่วนมูลค่าไม่ต้องพูดถึง ทั้งประดับด้วยเพชรทองล้ำค่า ทั้งใช้เวลาทำนานแสนนานขนาดนี้ ก็คงไม่แปลกหากกระเป๋าเงินใบดังกล่าวจะมีมูลค่าสูงถึง 3.8 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 134 ล้านบาท กลายเป็นกระเป๋าเงินที่แพงที่สุดในโลกไปอย่างไม่ต้องสงสัย
ทั้งนี้ กระเป๋าเงินที่แพงที่สุดในโลกใบนี้ จะจัดแสดงในงานแสดงเพชรและนาฬิกาของ Mouawad ไปอีกไม่กี่วันเท่านั้น ก่อนจะถูกนำไปแสดงที่ซาอุดิอาระเบียและ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ต่อไป

ตะลึง! พบแมงมุมหน้าคนอีกแล้ว ที่อังกฤษ

ตะลึง! พบแมงมุมหน้าคนอีกแล้ว นับเป็นตัวที่ 41 ที่พบในอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ.1890 (พ.ศ.2433)
ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าอาร์เอสพีบี ในประเทศอังกฤษ เปิดเผยว่า ทางศูนย์ฯ ได้ค้นพบแมงมุมที่ลำตัวมีรูปร่างเหมือนหน้าคนตัวที่ 41 ของอังกฤษ นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1890 โดยแมงมุมตัวดังกล่าวเป็นแมงมุมสายพันธ์ฟิลโลโดรมัส มาร์การิตาตัส (Philodromus margaritatus) ซึ่ง มาร์ค ซิงเกิลตัน เจ้าหน้าที่ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าอาร์เอสพีบีได้กล่าวว่า นี่นับเป็นแมงมุมหน้าคนที่พบในเมืองดอร์เซท ในรอบ 35 ปีเลยทีเดียว

วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

มาดูเค้กแต่งงาน ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกกัน

บรรยากาศแห่งความรักอบอวลในช่วงวันวาเลนไทน์เช่นนี้ เราก็ขอนำเสนอเรื่องให้เข้ากับบรรยากาศด้วยการพาไปชมเค้กแต่งงาน ที่เชื่อกันว่า เป็นเค้กแต่งงานเต็มชิ้นที่เก่าแก่ที่สุดในโลกกัน
โดยสำนักข่าวเดลิเมล์ รายงานเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ว่า เค้กแต่งงานก้อนนี้ถูกอบขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1898 หรือเมื่อกว่า 113 ปีที่แล้ว ตั้งแต่รัชสมัยของพระนางเจ้าวิกตอเรีย และตกแต่งในสไตล์สวยหรู เป็นเค้กผลไม้ มีดอกไม้สีน้ำตาลประดับอยู่ด้านบน เดิมทีเค้กก้อนนี้วางโชว์อยู่หน้าร้านเบเกอรี่ในเมืองบาซิงสโตค มณฑลแฮมป์เชียร์ ประเทศอังกฤษ และผ่านเหตุการณ์การทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้ว ก่อนที่ร้านค้าจะเลิกกิจการไปเมื่อปี 1964 เค้กก้อนนี้จึงถูกเก็บใส่ลังไปไว้ในห้องใต้หลังคา
จนเวลาผ่านไปนับสิบปี ลูกสาวเจ้าของร้านเบเกอรี่ซึ่งไม่ได้แต่งงาน และกำลังจะจากโลกนี้ไปเกิดกลัวว่า หากเธอเสียชีวิตไป แล้วมีใครมาพบเค้กแต่งงานก้อนนี้อยู่ในห้องใต้หลังคา จะพาลคิดว่า เธอแต่งงานแล้วถูกสามีทิ้งให้อยู่เดียวดาย เธอจึงตัดสินใจบริจาคเค้กก้อนนี้ให้กับพิพิธภณฑ์ Willis ในเมืองบาซิงสโตค ซึ่งน้อยคนจะรู้จัก โดยนางซู แทพลิส หัวหน้าผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ บอกว่า เพราะไม่ได้เก็บเค้กไว้ในอุณหภูมิที่เหมาะสม ทำให้น้ำตาลในเค้กละลายออกมาสัมผัสกับไอซิ่ง เค้กจึงเปลี่ยนไปสีน้ำตาลเข้มดังที่เห็น นอกจากนี้ เค้กที่ได้รับมายังอยู่ในสภาพที่ชื้นมาก ทางพิพิธภัณฑ์จึงทำให้เค้กแห้ง เพื่อยืดอายุของเค้กให้เป็นสมบัติอันน่าทึ่งของพิพิธภัณฑ์ต่อไป

เด็กนักเรียนญี่ปุ่นสุดเจ๋ง สร้างรถเตี้ยที่สุดในโลก


เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีรายงานจากเมืองอาซากูชิ โอกายาม่า ประเทศญี่ปุ่น ว่านักเรียนไฮสคูลกลุ่มหนึ่งสุดเจ๋งทำลายสถิติโลกเดิมสร้างรถยนต์ที่เตี้ยที่สุดในโลก
จากรายงานพบว่า นักเรียนโรงเรียนมัธยมโอกายามา ซันโย แผนกเครื่องยนต์ ประสบความสำเร็จในการสร้างรถยนต์ขนาดหนึ่งที่นั่งที่มีชื่อว่า "มิราอิ" (อนาคต) วิ่งด้วยความเร็วถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีความสูงของคันรถเพียงแค่ 45 เซนติเมตร สถิติใหม่ที่เตี้ยกว่าสถิติเดิม 2.5 เซนติเมตร
กลุ่มนักเรียนดังกล่าว ได้กล่าวว่า ถึงแม้ว่าจะต้องล้มลุกคลุกคลานกับปัญหาบ้าง แต่พวกตนก็ไม่เคยละความพยายามเลยสักนิด โดยแรงบันดาลใจมาจากตอนที่เรียนวิชาเครื่องยนต์ ทำให้อยากสร้างรถที่เตี้ยที่สุดในโลกเพื่อทุบสถิติเดิมที่นายเพอรรี่ วัตส์กิน ชาวอังกฤษ ได้ทำไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดได้บันทึกสถิติโลกไว้ว่า รถจิ๋วของ นายเพอรรี่ วัตส์กิน เป็นรถยนต์จิ๋วที่วิ่งได้จริงและเตี้ยที่สุดในโลก โดยมีความสูงของรถอยู่ที่ 48.26 เซนติเมตร แต่สุดท้ายความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น เพราะพวกตนสามารถทำลายสถิติสร้างรถเตี้ยกว่านายเพอรรี่ วัตส์กิน

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พริกไทย ช่วยรักษา อัลไซเมอร์


เครื่องเทศที่มีกันอยู่ทุกครัวเรือน "พริกไทย" พริกไทยเม็ดเล็ก ๆ นี่แหละค่ะที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่มีประโยชน์มากมาย ประกอบด้วยสารที่ทำให้มีกลิ่นฉุนเย็นเป็นอัลคาลอยด์ คือ ไพเพอรีน (piperine) สารที่ให้รสเผ็ด คือ คาวิซีน (chavicine)ประมาณ 1% และสารพวกฟีนอลิกส์ (Phenolics)
พริกไทยมีรสชาติเผ็ดร้อน กลิ่นหอมฉุน เป็นตัวชูรส ช่วยเจริญอาหาร จึงจัดเป็นเครื่องเทศยอดนิยมของชนเกือบทุกชาติ เพราะเต็มไปด้วยประโยชน์มากมาย ได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งเครื่องเทศ" (King of Spices) ที่ผู้คนใช้กันมานับพัน ๆ ปี เป็นพืชพื้นเมืองของอินเดีย เพราะมีแหล่งกำเนิดอยู่แถวชายฝั่งมะละบาร์ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของอินเดีย ซึ่งปัจจุบันอินเดียเป็นผู้ผลิตและส่งออกพริกไทยรายใหญ่ของโลก
พริกไทยมี 3 ชนิด คือ พริกไทยดำ (Black Pepper) พริกไทยขาวหรือเรียกว่า พริกไทยล่อน (White Pepper) และพริกไทยอ่อนหรือพริกไทยสด (Green Pepper) ทั้ง 3 ชนิดนี้ก็มาจากต้นเดียวกันค่ะ พริกไทยดำมาจากผลพริกไทยที่โตเต็มที่มีสีเขียวเข้มจัด นำมาตากแดดให้แห้งจนเป็นสีดำ ส่วนพริกไทยขาวนั้น มาจากผลสุกที่แก่จัดจนเป็นสีแดงมาแช่น้ำ นำมาลอกเปลือกออก แล้วตากแดดให้แห้ง ก็จะได้ผลสีขาว ส่วนพริกไทยอ่อนก็คือผลของพริกไทยที่ยังโตไม่เต็มที่นั่นเอง
คราวนี้มาดูกันว่าความมหัศจรรย์ทางยาของราชาเครื่องเทศ มีมากน้อยแค่ไหนในตำรายาไทยกล่าวว่า รากพริกไทย มีรสร้อน แก้ปวดท้อง แก้ลมวิงเวียน ขับลมในลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร
เถาพริกไทย รสร้อน แก้ท้องร่วงอย่างรุนแรง แก้เสมหะในทรวงอก ใบพริกไทย รสเผ็ดร้อน แก้ลม แก้จุกเสียด แน่น ปวดมวนท้อง ดอกพริกไทย รสเผ็ดร้อน แก้ตาแดง เมล็ดพริกไทย รสเผ็ดร้อน แก้ลม อัมพฤกษ์ บำรุงสายตา แก้ท้องอืดท้องเฟ้อแก้เสมหะ แก้ตกขาวพริกไทยกระตุ้นการไหลของน้ำลายและน้ำย่อย ช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร กระตุ้นให้กล้ามเนื้อในกระเพาะและลำไส้เคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ ทำให้อาหารถูกย่อยง่าย
ชาวจีนใช้พริกไทยเพื่อระงับอาการปวดท้อง แก้ไข้มาลาเรีย แก้อหิวาตกโรค และเพราะเหตุที่เปลือกของพริกไทยมีน้ำย่อยสำหรับย่อยไขมัน ตำราโบราณจึงเชื่อกันว่าพริกไทยสามารถลดความอ้วนได้
แม้ว่าพริกไทยจะมีสารอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากเพียงใด แต่การกินพริกไทยจำนวนมากเกินไป ย่อมเกิดผลข้างเคียงขึ้นมาได้เหมือนกันค่ะ เพราะนักวิจัยคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ได้ออกมาเตือนว่า การกินพริกไทยดำครั้งละมาก ๆ ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน เพื่อเสริมความงาม ทำให้ผิวพรรณผ่องใส แถมช่วยลดความอ้วน ตามที่มีการโฆษณากันนั้นต้องระวังให้มากค่ะ เพราะอาจจะได้รับสารอัลคาลอยด์สะสม เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งขึ้นมาได้เหมือนกัน ทางที่ดีควรจะบริโภคแต่น้อย เพราะร่างกายสามารถขับออกมาได้

อึ้ง! เด็กวัย 12 ขวบ เป็นจิตรกรอายุน้อยที่สุดในโลก



จิตรกรน้อยวัย 12 ขวบ สุดอัจฉริยะ ทำสถิติโลกเป็นจิตรกรที่มีอายุน้อยที่สุดในการวาดภาพเหมือน หลังเป็นที่เปิดเผยผลงานวาดภาพเมื่อตอนอายุแค่ 10 ขวบ ซึ่งใช้เทคนิคการวาดภาพด้วยถ่ายในตอนนั้น
เป็นทราบกันดีในประเทศอินเดีย ถึงความสามารถทางด้านวาดภาพของ ฮาริส จิตรกรน้อยวัย12 ขวบ ที่มีพรสวรรค์ด้านศิลปะตั้งแต่เด็ก แม้จะไม่เคยเข้าเรียนด้านศิลปะเฉพาะทางที่ไหนมาก่อน ภาพที่จิตรกรน้อยชอบวาดมักเป็นภาพของนักต่อสู้อิสระเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น มหาตะมะ คานธี แม่ชีเทเรสซ่า และ ศิลปินอย่างราบินดรานาธ ทากอร์ส
ซึ่ง ฮูมาและอิมติยาส คัน พ่อแม่ของจิตรกรน้อย เล่าว่า นี่เป็นพรสวรรค์ที่เขามีมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งพ่อแม่รู้สึกได้ถึงความสามารถตั้งแต่ตอนเขาอายุแค่ 3 ขวบ แต่พอเขาอายุ 7 ขวบ เขาเริ่มวาดรูปมหาตะมะ คานธี และจนมาถึงวันนี้ลูกชายมีนิทรรศการมาแล้วถึง 9 ครั้งในประเทศอินเดีย ส่วนผู้ที่ชื่นชอบผลงานนั้นเป็นผู้มีชื่อเสียงหลาย ๆ ท่าน เช่น เอ พี เจ กาลัม ซาฮับ ประธานาธิบดีคนก่อนของอินเดีย, ดาราอย่างดิลิป คูมาร์, เดฟ อนัน และอื่น ๆ อีกหลายคน
ทั้งนี้ ฮาริส ได้รับเลือกว่าเป็นจิตรกรที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก จากการแข่งขันออนไลน์ระดับโลกที่เหล่าจิตรกรเข้าร่วมแข่งขันกันจากทุกมุมโลก ผลออกมาปรากฎศิลปินหลาย ๆ คนฝีมือยังด้อยกว่าและมีประสบการณ์น้อยกว่าฮาริสน้อยอีกด้วย นอกจากนั้นฮาริสยังได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 5 จิตรกรน้อยที่มีชื่อเสียงจากสถานีโทรทัศน์ช่องไอบีเอ็น 7 ของอินเดีย และฮาริสยังได้ชนะการแข่งขันรางวัลแห่งความภาคภูมิใจประจำเมืองพุน ประเทศอินเดีย อีกทั้งผลงานของเขายังได้ลงแมกกาซีนศิลปะเด็กในอเมริกา ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างดี สุดท้ายเพื่อความก้าวหน้าและเพื่อฝึกฝนฝีมือ พ่อแม่ของเขาตั้งใจส่งเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะในประเทศฝรั่งเศส เมื่อเขาโตพอ

หนุ่มสะสมขวดนมมากที่สุดในโลก



อดีตคนส่งนมสร้างพิพิธภัณฑ์บริเวณสวนหลังบ้าน เมื่อบ้านที่อยู่อาศัยเล็กเกินกว่าที่จะเก็บขวดที่สะสมไว้ทั้งหมดได้ ซึ่ง ณ ตอนนี้มี 10,000 กว่าขวดทีเดียว
นายพอล ลูค หนุ่มเมืองผู้ดีวัย 33 ปี อาศัยอยู่ในสแตนฟอร์ด เลอ โฮบ เมือง เอสเซ็ก ประเทศอังกฤษ กับภรรยาและลูกสาว เล่าว่า ตนได้เริ่มเก็บสะสมขวดนมตั้งแต่มีอายุแค่ 9 ขวบ แม้ตอนนั้นจะมีตำแหน่งเป็นแค่ผู้ช่วยเด็กส่งนมก็ตาม แรกเริ่มเขาสังเกต เห็นความแตกต่างบนขวดนมและได้เริ่มเก็บสะสมขวดนมโดยวางไว้บนหน้าต่างที่บ้านเรื่อยมา จนเวลาผ่านเลยไป ณ วันนี้การสะสมขวดนมของเขาเกือบทำให้เขาไม่มีบ้านให้พักอาศัย เพราะไม่มีพื้นที่ว่างพอให้เก็บขวดนมอีกต่อไป ปัจจุบันพบว่าขวดที่สะสมไว้มีมากถึงหลักหมื่นและบางขวดกลายเป็นของหายากไปแล้วในตอนนี้ นอกจากนั้นเขายังเล่าต่ออีกว่า ตอนที่เขาเริ่มสะสมขวดนม พ่อกับแม่เห็นดีด้วยเพราะถือว่านี่เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่ง เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และไม่ทำตัวให้เกิดปัญหา
นอกจากนั้นตนยินดีหากใครสนใจแลกเปลี่ยนข้อมูล หรือส่งรูปขวดนมแปลก ๆ มาให้ดู โดยที่ส่วนตัวเขาเองนั้นเขาไม่คิดขายหรือตั้งราคาขวดนมที่เขามี เพราะเขาต้องการเก็บไว้เพื่อให้เป็นประวัติศาสตร์ เป็นข้อมูลสำหรับคนสนใจขวดนมต่อไป

อูไดปูร์ เมืองโรแมนติกแห่งดินแดนโรตี






ได้รับการการันตีว่าเป็นเมืองที่ดีที่สุดอันดับหนึ่งของโลก ประจำปี 2009 จากผลสำรวจของนิตยสารทราเวล & เลเชอร์ ทำให้ใคร ๆ ต่างก็อยากเดินทางไปสัมผัสกับความงดงามของเมือง อูไดปูร์ หรือ อุทัยปุระ (Udaipur) ประเทศอินเดีย เพราะฉะนั้น กระปุกดอทคอมก็จะพาเพื่อน ๆ ไปทำความรู้จักกับ อูไดปูร์ เมืองริมทะเลสาบแห่งแคว้นราชสถาน (Rajastan) ที่ถูกเปรียบเปรยให้เป็น "เวนิสแห่งโลกตะวันออก" กัน... อูไดปูร์ ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้นราชสถาน ประเทศอินเดีย ในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยป่าไม้ ภูเขา และทะเลสาบที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น ทะเลสาบฟิโชล่า, ทะเลสาบฟาเตห์ ซาการ์, ทะเลสาบสวารูป ซาการ์ และทะเลสาบอูไดร์ ซาการ์ อีกทั้ง อูไดปูร์ ยังเคยเป็นราชธานีแห่งที่สองของอาณาจักรเมวาร์ (Mewar) สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1559 โดยมหาราชา Udai Singh ที่ 2
ในสมัยอาณาจักรเมวาร์รุ่งเรือง เจ้าครองนครได้สร้าง "พระราชวัง" (City Palace) ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพระราชวังที่มีขนาดใหญ่ที่สุด หรูหรา งดงามที่สุดในแคว้นราชาสถาน อาจเพราะตั้งอยู่ริม "ทะเลสาบฟิโชล่า" (Lake Pichola) และถูกโอบกอดไว้ด้วยบ้านเรือนสีขาวนวลตา มีเทือกเขาสูงน่าเกรงขามคอยยืดมองทุกชีวิตในเมือง วัดน้อยใหญ่ที่ไม่เคยไร้เงาผู้อวบอิ่มไปด้วยศรัทธา จึงทำให้ "พระราชวัง" แห่งนี้มีความลงตัวที่เข้ากันดี ในแบบฉบับที่ไม่เหมือนใคร แต่ปัจจุบัน "พระราชวัง" ถูกแบ่งออกเป็น พิพิธภัณฑ์พระราชวัง และ โรงแรมหรูหราระดับ 5 ดาว ซึ่ง พิพิธภัณฑ์พระราชวัง ยังเปิดให้ชมความสวยงาม สัมผัสถึงร่องรอยความงดงามในอดีตของห้องต่าง ๆ ได้ เช่น ห้องเขียนหนังสือที่ท่านราชบุตร ใช้ร่างประวัติศาสตร์ของแว่นแคว้นนี้ เมื่อ 130 กว่าปีก่อน, ชมพระตำหนักของนางสนมของมหาราชา ฯลฯ
ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ พระราชวังฤดูร้อน หรือ Lake Palace ตั้งอยู่กลางทะเลสาบฟิโช สร้างด้วยหินอ่อนทั้งหลัง เมื่อปี 1746 โดยมหาราชาจากัต ซิงห์ ที่ 2 และปัจจุบันดัดแปลงมาเป็นโรงแรมหรู 5 ดาว ชื่อ Taj Hotel Resorts and Palaces
Jagdish Temple วัดฮินดูขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดในเมืองอูไดปูร์ สร้างขึ้นอุทิศพระวิษณุ ผู้รักษาจักรวาล ในปี ค.ศ.1651 โดย Maharana Jagat Singh มหราชาผู้ปกครองอูไดปูร์ ช่วงปี ค.ศ. 1628-1653. ตามแบบอินโด-อารยัน
Sahelion Ki Bari สวนสวยแห่งหนึ่งของเมืองอูไดปูร์ ที่มีความเขียวขจี สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 18 สวนนี้มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Garden of Maids สร้างขึ้นโดยมหาราชา Maharana Sangram Singh สร้างให้กับพระชายาของพระองค์ หรือไป ล่องเรือทะเลสาบพิคโคลา Pichola Lake ชมความสวยงามของเมืองอูไดปูร์ เมืองที่ได้ชื่อว่า Romantic City ไม่เว้นแม้แต่ซอกซอยแคบ ๆ ที่ยังมีไอเย็นแห่งความโรแมนซ์ลอยอ้อยอิ่งให้รู้สึกได้
ขณะเดียวกัน วิถีชีวิตที่เรียบง่ายของชาวเมืองอูไดปูร์ ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้นักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก มักแวะเวียนไปสัมผัส รวมถึงไปช้อปปิ้งร้านรวงที่อัดแน่นไปด้วยข้าวของยวนใจ ไปนั่งคาเฟ่ริมน้ำจิบชาอินเดีย ยลโฉมงานศิลปะตามเมือง ที่เติมเต็มให้ "อูไดปูร์" เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อด้านความโรแมนติก ด้วยองค์ประกอบหลายประการที่เอื้อให้เมืองแห่งนี้ ห่มคลุมไปด้วยความโรแมนซ์ไปทั้งเมือง

โลโก้กูเกิลวันนี้ วันเกิดของ Jules Verne บิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์


วันนี้โลโก้เว็บเสิร์ชเอนจินอันดับหนึ่งของโลก อย่างเว็บกูเกิล (google.co.th) มีหน้าตาแตกต่างจากทุกวัน กลายเป็นโลโก้กูเกิลที่เหมือนอยู่ในเรือดำน้ำ อีกทั้งยังมีคันโยกสามารถให้เราท่องโลกใต้น้ำได้อีกด้วย และเมื่อชี้ไปยังโลโก้ดังกล่าวก็ปรากฏข้อความเป็นชื่อJules Verne
Jules Verne มีชื่อเต็มว่า Jules Gabriel Verne เกิดในเมืองBrittany ในประเทศฝรั่งเศส ในวัยเด็ก Jules Verne กับพี่ชายของเขามักจะเช่าเรือล่องไปที่ต่าง ๆ จนทำให้ Jules Verne เกิดความชอบในทะเลและจุดประกายจินตนาการของเขานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Jules Verne ได้ถูกส่งเข้าไปเรียนในโรงเรียนประจำ ด้วยความที่เขาเป็นเด็กที่ชอบการสำรวจเป็นอย่างมาก ชื่นชอบการผจญภัย เขาจึงหมั่นศึกษาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทาง หรือพาหนะต่าง ๆ โดยเฉพาะเรือดำน้ำในประเทศของเขา จนเกิดเป็นจินตนาการที่ทำให้เขาสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นตำนานอย่างนิยายเรื่อง ผจญภัยใต้ทะเล 20000 ลีกส์(ค.ศ.1870) หลังจากจบการศึกษา Jules Verne ได้ค้นพบความสามารถที่แท้จริงของเขา นั่นก็คือการเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ เขาชอบอยู่ในโลกของการเดินทางและผจญภัยไปในยังพื้นที่ที่ยังไม่มีใครเคยพบ ทำให้เขามีความสุขกับทุกอักษรที่เขาเขียนออกมา แต่กระนั้นคุณพ่อของ Jules Verne ก็ไม่พอใจในการเอาดีทางด้านการเขียนนิยายของลูกชายตนเองสักเท่าไร จึงไม่ให้ความสนับสนุนทางด้านการเงินกับ Jules Verne อีก และในช่วงเวลานั้น Jules Verne ได้พบรักกับหญิงม่ายลูกสอง และแต่งงานกันเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ.1857 ภรรยาของเขาคอยสนับสนุนและให้กำลังใจในงานเขียนของเขามาเสมอ
สำหรับผลงานของ Jules Verne นั้นชอบเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ พื้นที่ อากาศ การเดินทางไปอวกาศ และโลกใต้น้ำซึ่งหนังสือของเขามักจะมีการเดินทางที่น่าตื่นเต้นเสมอ อีกทั้งหนังสือบางเล่มของเขายังได้ถูกนำมาทำเป็นภาพยนตร์อีกด้วย และ Jules Verne ได้มีการเปลี่ยนแปลงแนวการเขียนมาโดยตลอดเพื่อให้ทันกับยุคสมัยในตอนนั้น เริ่มแรกที่เขาเขียนนิยายโดยอิงวิทยาศาสตร์จนเกินไป แต่พักหลังเขานำเรื่องราวชีวิตสอดแทรกการผจญภัยในนิยายนั้น ๆ จนทำให้นิยายของเขาได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก อีกทั้งนิยายบางเล่มได้ถูกนำไปสอดแทรกในเนื้อหาวิชาเรียนต่าง ๆ อีกด้วย หลังจากนั้นเขาก็ได้สรรค์สร้างงานเขียนมากมายและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาของคนรุ่นหลัง อาทิ หนังสือการเดินทางไปยังศูนย์กลางของโลก (ค.ศ.1864) และ หนังสือทั่วโลกในแปดสิบวัน (ค.ศ.1873) จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นบิดาแห่งนิยายวิทยาศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ปี 1905 Jules Verne ก็เสียชีวิตลงด้วยโรคเบาหวาน สำหรับงานเขียนของเขาลูกชายและภรรยานั้นเป็นผู้ดูแลจากรุ่นสู่รุ่นจนกลายเป็นตำนาน

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทึ่ง! นกสตาร์ลิ่งเรียงตัวเป็นรูปงูเห่า


เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เว็บไซต์เดลิเมล์ ของอังกฤษ เปิดเผยภาพน่าทึ่งของนกสตาร์ลิ่งในอังกฤษ ที่บินเรียงตัวเป็นรูปหัวงูเห่าอย่างน่าอัศจรรย์
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในเมืองซัมเมอร์เซท ทางตะวันตกของอังกฤษ ในช่วงตะวันคล้อยใกล้ค่ำ นกสตาร์ลิ่งกว่า 1,000 ตัว ได้บินอยู่บนท้องฟ้า เรียงตัวกันเป็นเหมือนงูเห่าตัวใหญ่ และบินวนอยู่อย่างนั้น จนช่างภาพสามารถเก็บภาพไว้ได้ สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนที่พบเห็นเป็นอย่างมาก และต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นา ๆ เกี่ยวกับการรวมตัวกันคล้ายกับงูเห่าในครั้งนี้ ซึ่งถือเป็นปรากฎการณ์ที่งดงามมาก
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ นกสตาร์ลิ่งทั่วโลกได้ตกลงมาตายปริศนา ทั้งในอเมริกา แคนาดา อังกฤษ และพื้นที่อื่น ๆ ซึ่งทำให้มันมีจำนวนลดลงมาก อย่างไรก็ดี ปรากฎการณ์การรวมตัวกันเป็นฝูงใหญ่ดังที่เห็นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะนกสตาร์ลิ่งจะอยู่กันเป็นฝูงใหญ่อยู่แล้ว และการรวมตัวกันดังกล่าวก็แสดงให้เห็นสัญชาตญาณการอยู่รอดของพวกมัน ที่รวมตัวกันเป็นจำนวนนับพัน เพื่อปกป้องตัวเองจากบรรดาสัตว์
นักล่าต่าง ๆ

เจ๋ง! ไทยผลิตชุดตรวจพิษปลาปักเป้าครั้งแรกของโลก

สธ.ชูชุดตรวจสารพิษในปลาปักเป้าของกรมวิทย์ตรวจหาสารพิษสำเร็จ 100% เป็นชุดแรกของโลก ย้ำประสิทธิภาพสูง ประหยัดเวลา ราคาถูก เตือนประชาชนให้ระวังรับประทานปลาปักเป้าและแมงดาทะเล เพราะอาจได้รับพิษเทโทรโดท็อกซิน ซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิต โดยเฉพาะช่วงเดือน ก.พ.-มิ.ย.พบพิษมาก
เนื่องจากในแต่ละวันมีปริมาณปลาปักเป้าที่ติดมากับอวนของชาวประมงสูงถึง 100 - 150 ตัน จึงมีผู้ที่แอบลักลอบนำปลาปักเป้ามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ส่งผลให้ในแต่ละปีพบมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากการได้รับสารพิษเทโทรโดซินจากปลาปักเป้าและแมงดาถ้วย โดยเฉพาะแมงดาถ้วยจะมีพิษในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งพิษดังกล่าวส่งผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการหายใจ หากรับประทานในปริมาณมากทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ในที่สุดหลักการของชุดทดสอบเทโทรโดท็อกซิน คือ การวิเคราะห์สารพิษเทโทรโดท็อกซินในปลาปักเป้าด้วยหลักการทางอิมมูโนวิทยา โดยให้ anti-TTX ในชุดทดสอบ จับกับสารพิษเทโทรโดท็อกซินที่สกัดจากปลาปักเป้า แล้วเคลื่อนต่อไปจับกับแถบสารพิษเทโทรโดท็อกซินที่ตรึงอยู่บนแถบทดสอบ อ่านผลวิเคราะห์จากแถบสีที่เกิดขึ้นร่วมกับการเกิดสีบนแถบควบคุมที่อยู่บนแผ่นทดสอบ Cut off value 2 ไมโครกรัมต่อเน้อปลาปักเป้า 1 กรัม
วิธีการทดสอบ คือ นำปลาตัวอย่าง 50-100 กรัมมาบดให้ละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำเนื้อปลาที่บดละเอียด 2 กรัมใส่ในหลอดทดลอง จากน้ำเติม 0.1% acetic acid ลงไป 8 มิลลิลิตร เขย่าให้เป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำไปต้มในน้ำเดือด 10 นาที เขย่าเป็นครั้งคราว ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น จะพบว่าส่วนใสลอยอยู่ข้างบน ส่วนเนื้อปลาจะตกตะกอนอยู่ก้อนหลอด จากนั้นวางตลับชุดทดสอบบนพื้นที่ราบเสมอกัน ไม่เอียง ใช้หลอดหยดดูดส่วนบนของสารสกัด แล้วหยดลงในหลุมบนตลับชุดตรวจ 3 หยด ตั้งทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วอ่านผล หากพบแถบสีแดงบนแผ่นทดสอบ 1 แถบ แสดงว่าปลานั้นเป็นปลาปักเป้าที่มีพิษ แต่ถ้าพบแถบสีแดงบนแผ่นทดสอบ 2 แถบ แสดงว่าปลาปักเป้าที่ทดสอบนั้นไม่มีพิษ ดังนั้นจึงเป็นการดีอย่างยิ่งที่มีการพัฒนาชุดตรวจดังกล่าวขึ้นมา เป็นการช่วยลดความเสี่ยงต่อการรับพิษเทโทรโดท็อกซินได้
"ชุดทดสอบนี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการตรวจสอบหาสารพิษมากกว่าการทดสอบแบบเดิมหลายเท่าตัว ซึ่งจากเดิมใช้เวลาตรวจหาสารเทโทรโดท็อกซินนานถึง 2 ชั่วโมงกว่าจะทราบผล และชุดตรวจมีราคาแพง ชุดละประมาณ 2,000 บาท หลังจากที่มีการพัฒนาชุดตรวจหาสารเทโทรโดท็อกซิน ล่าสุดใช้เวลาตรวจไม่เกิน 30 นาที และราคาเพียง 120 บาทต่อชุด และได้ประสิทธิภาพสูง คาดว่าหากมีการใช้ชุดตรวจนี้กันอย่างแพร่หลาย ราคาก็จะลดลงอีก หากชุดตรวจนี้เป็นที่ต้องการของตลาดก็สามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ต่าง ๆ ให้กับหน่วยงานเอกชน เพื่อนำไปพัฒนาและผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน"

อย.เตือน ผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายที่มีกลิ่นหอมยังมีอันตราย

ลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนที่มีกลิ่นหอม ไม่มีกลิ่นฉุน หรือมีกลิ่นอ่อน มีความอันตรายน้อย ซึ่งความจริงกลิ่นเหล่านั้น ไม่ได้ช่วยให้ความเป็นอันตรายของผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายลดน้อยลง หากผู้บริโภคสูดดมเข้าไป อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ ย้ำเตือนให้ผู้ผลิตอย่าโฆษณาผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายเกินจริง เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับผู้บริโภค
ในความจริงแล้ว กลิ่นหอมเกิดจากการปรุงแต่งกลิ่นด้วยน้ำหอมสังเคราะห์ โดยอาจเป็นน้ำหอมที่ให้กลิ่นหอมคล้ายดอกไม้ เช่นดอกลาเวนเดอร์ ดอกลิลลี่ ดอกกุหลาบ ดอกมะลิ เป็นต้น อาจมีบ้างที่ปรับปรุงกลิ่นด้วยน้ำมันหอมระเหยสกัดจากธรรมชาติ เช่น กลิ่นจาก d-limonene ที่สกัดจากเปลือกผลไม้ตระกูลส้ม กลิ่นหอมต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคเกิดความเข้าใจผิดว่า ผลิตภัณฑ์ไม่ทำให้เกิดอันตราย เพราะมีกลิ่นหอมหรือเป็นกลิ่นของพืชจากธรรมชาติ แต่ที่จริง หากผู้บริโภคสูดดมกลิ่นของผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายเข้าไป จะทำให้ปวดศีรษะ วิงเวียนคลื่นไส้ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ โดยประโยชน์ที่แท้จริงของการแต่งกลิ่นของผลิตภัณฑ์วัตถุอันตรายนั้น ก็เพื่อกลบกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ของสารออกฤทธิ์ของผลิตภัณฑ์ หรือสารเคมีที่ใส่เข้าไปในผลิตภัณฑ์เพื่อใช้เป็นตัวทำละลาย ตลอดจนคุณสมบัติทางเคมีและกายภาพของตัวผลิตภัณฑ์ ซึ่งมักจะมีกลิ่นฉุนอย่างรุนแรง จึงต้องแต่งกลิ่น เพื่อช่วยลดความรุนแรงของกลิ่นในผลิตภัณฑ์ให้น้อยลง เพื่อให้ผู้บริโภคหันมาเลือกบริโภคสินค้ามากยิ่งขึ้น