วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Merry x' mas


ประวัติวันคริสต์มาส

คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas
เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร
ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

ซานตาครอส
เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี
นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา
ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พาเหรดรวมพลซานต้ามากที่สุดในโลก


เข้าใกล้เทศกาลคริสต์มาสเข้ามาทุกที ในปีนี้หลายประเทศจัดงานรวมพลซานต้าคลอสกันอย่างคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นขบวนบุรุษไปรษณีย์ซานต้าของเกาหลี หรือ แต่งตัวซานต้าวิ่งการกุศลก็ดี แต่ไม่ว่าจะงานไหน ๆ ก็คงสู้งานซานต้าคลอสที่เราเอาบรรยากาศมาฝากกันวันนี้ไม่ได้แน่นอน เพราะเป็นการรวมพลซานต้าคลอสถึงเกือบ 15,000 ชีวิตเลยทีเดียว และภาพที่เห็นนี้ก็คือ งานเดินขบวนพาเหรดซานต้าที่จัดขึ้นที่ตอนเหนือของประเทศโปรตุเกส ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำลายสถิติโลกโดยเฉพาะ และมันก็สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย เพราะมีชาวโปรตุเกสแห่กันมาหยิบเอาชุดซานต้าที่ผู้จัดงานเตรียมไว้กันทั้งสิ้น 14,963 คน แต่ก็ยังน้อยกว่าที่คาดไว้ เพราะงานนี้มีการเตรียมชุดซานต้าไว้ถึง 19,000 ชุดเลยทีเดียว
ทั้งนี้ งานรวมพลซานต้าของโปรตุเกสนั้น คึกคักและสนุกสนานไม่ต่างกับปีก่อน ที่มีผู้เข้าร่วมงานกันคับคั่ง ต่างแค่เพียงปีที่แล้ว เป็นขบวนพาเหรดซานต้าตัวน้อย ส่วนปีนี้เป็นซานต้าทุกเพศทุกวัยกันเลย

กินอาหารหน้าคอม ระวังอ้วนฉุ!

ใครที่ชอบทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ไป เล่นเกมไป กินอาหารไป ระวังจะอ้วนไม่รู้ตัวนะ
คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริสตอล ประเทศอังกฤษ เปิดเผยผลการวิจัยที่ค้นพบว่า การรับประทานอาหารขณะเล่นเกม หรือทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ จะทำให้เรามีแนวโน้มรับประทานอาหารได้มากขึ้น และทำให้อ้วนได้อย่างไม่รู้ตัว
โดยรายงานระบุว่า การวิจัยได้แบ่งการทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้ผู้เข้าร่วมการทดลองเล่นเกมไพ่บนคอมพิวเตอร์ พร้อม ๆ กับทานอาหารกลางวันที่มีเมนูอาหาร 9 อย่าง ขณะที่ผู้เข้าร่วมการทดลองกลุ่มที่ 2 ให้ทานอาหารกลางวันประเภทเดียวกัน แต่ให้ทานอย่างเดียว ไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย ผลการทดลองปรากฎว่า กลุ่มที่ทานอาหารไปด้วย เล่นเกมไปด้วย จะไม่ค่อยรู้สึกอิ่มแม้ทานอาหารกลางวันแล้ว โดยพวกเขายังสามารถทานช็อกโกแลต บิสกิต ขนมต่าง ๆ ได้อีก ต่างกับกลุ่มที่ไม่ได้เล่นเกมหน้าคอมพิวเตอร์
นอกจากนี้กลุ่มที่เล่นเกมไปด้วย กินไปด้วย ยังจำไม่ค่อยได้ว่า พวกเขากินอะไรเข้าไปบ้าง ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ให้เหตุผลว่า ที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาไม่มีสมาธิในการกิน จึงทำให้คนกลุ่มนี้สามารถทานอาหารได้เพิ่มมากขึ้น ในแต่ละมื้อของแต่ละวัน แน่นอนว่า โรคอ้วนย่อมถามหาได้ง่าย ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ก็เคยมีผลการวิจัยที่ค้นพบว่า การรับประทานอาหารขณะดูทีวี ก็ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับการนั่งทานอาหารหน้าคอมพิวเตอร์ คือ คนจะทานอาหารได้มากขึ้น และมีแนวโน้มจะอ้วนได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
รู้อย่างนี้แล้ว เลิกพฤติกรรมทานอาหารไป เล่นเกมไป ทำงานไป จะดีกว่านะคะ ก่อนพุงน้อย ๆ ที่ไม่พึงประสงค์จะถามหา

วันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทำไมบนดินสอถึงมียางลบ??

ดินสอที่มียางลบติดอยู่ในแท่งด้วยอย่างนี้ มีที่มากว่าร้อยปีแล้วค่ะ!!!
เรื่องก็เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของ ไฮเมน ลิปแมน (Hymen Lipman) ชาวเมืองฟิลาเดเฟีย ประเทศสหรัฐอเมริกาค่ะ ไฮเมนเป็นคนฐานะยากจน เลี้ยงชีพด้วยการวาดภาพเหมือนคน แล้วก็ชอบทำยางลบหายบ่อยๆ ทำให้เสียเวลาต้องมานั่งหา หรือไปซื้อมาใหม่ วันหนึ่งไฮเมนก็นั่งเอาดินสอมาจิ้มยางลบฉับพลันเห็นภาพยางลบที่ติดอยู่กับปลายดินสอก็ปิ๊งไอเดีย เอายางลบมาพันติดกับปลายด้านหนึ่งของดินสอ กลายเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรเมื่อปี ค.ศ.1867 แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายค่ะว่า สิทธิบัตรดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปโดยศาลฎีกาสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ.1875 เพราะถือว่า ดินสอกับยางลบ ก็ยังเป็นดินสอกับยางลบ ไม่ได้ถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ทำหน้าที่ใหม่ต่างจากเดิม ถึงจะโดนยกเลิกไป แต่ไฮเมนก็กลายเป็นเศรษฐีอยู่เหมือนกันนะคะตอนคิดได้ ถึงแม้จะมาโดนยกเลิกสิทธิบัตรในหลายปีต่อมา แต่พี่แนนว่า นั่นก็เป็นความสร้างสรรค์อย่างหนึ่ง จากสิ่งที่เราไม่ได้คิดถึง หรือสิ่งใกล้ตัว เพราะไฮเมนแค่ใช้ดินสอจิ้มยางลบ ก็คิดได้แล้วว่า มันน่าจะอยู่ติดกันซะเลย จะได้สะดวก ไม่ต้องกลัวหายอีก เรื่องปิ๊งแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆนะคะ

เตือน! วางโน้ตบุ๊กบนตักเสี่ยงมะเร็ง

ปัจจุบัน แล็ปท็อป หรือ โน้ตบุ๊ก กลายเป็นอุปกรณ์สุดไฮเทค ที่จำเป็นสำหรับวัยรุ่นหรือหนุ่มสาววัยทำงานหลายคนไปซะแล้ว นับตั้งแต่คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทกับเรา ๆ ไปซะทุกด้าน และโน้ตบุ๊กก็ดูเหมือนจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่แสนฮิตฮอตซะเหลือเกิน เพราะมันสามารถพกพาไปไหนได้สบาย และด้วยความสะดวกสบาย พกพาง่ายของมันนี่แหละ ทำให้เจ้าโน้ตบุ๊กสามารถเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา แม้จะไม่มีโต๊ะให้วาง ก็วางบนตักของตัวเองได้อย่างง่าย ๆ พอ ๆ กับที่มันก็ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาได้อย่างง่าย ๆ อีกเช่นกัน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการเล่นโน้ตบุ๊กบนตักนั้น ทำให้คนเจ็บป่วยกับมันได้จริง ๆ เหมือนกับกรณีของเด็กชายวัย 12 ปีชาวอเมริกัน ที่ติดนิสัยชอบเล่นโน้ตบุ๊กไว้บนตัก แล้วอยู่กับมันวันละ 2-3 ชั่วโมง ปรากฏว่า 2 เดือนให้หลัง ผิวของเด็กก็ไหม้และด่างโดยไม่รู้ตัวเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีผู้ใช้โน้ตบุ๊กอีกกว่า 10 ราย รายงานเข้ามาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2007 ว่าความร้อนจากโน้ตบุ๊ก ทำให้ผิวไหม้และทำให้ผิวด่างเช่นเดียวกันกับกรณีดังกล่าว ขณะที่ทางทีมแพทย์เชื่อว่า คงจะมีผู้ที่ได้รับอันตรายจากความร้อนใต้โน้ตบุ๊กมากกว่านั้นอย่างแน่นอน
งานนี้ บรรดาแพทย์ชาวอเมริกันก็เลยออกมาเตือนว่า ความร้อนที่ระบายออกมาบริเวณใต้โน๊ตบุ๊คนั้น ทำให้ผิวไหม้และหากติดนิสัยเล่นโน้ตบุ๊กบนตักนาน ๆ ก็จะทำให้เป็นมะเร็งบริเวณหัวเข่าหรือต้นขาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ ที่หลายคนชอบเอาโน้ตบุ๊กวางบนตักซะเหลือเกิน เพราะมันทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นได้ โดยไม่คำนึงถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น แพทย์จึงแนะนำให้ผู้ที่ชอบวางโน้ตบุ๊กไว้บนตัก เปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ ขณะที่ทางด้านบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อย่างแอปเปิ้ล และเดลล์ ก็เคยเตือนผู้ใช้ว่าอย่าวางโน้ตบุ๊กไว้บนตักเช่นกัน ทั้งนี้ ก็เพียงแค่อยากให้ผู้ใช้ได้ตระหนักถึงอันตรายระยะยาว ซึ่งอาจจะทำให้เกิดมะเร็งได้ในอนาคต

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทายนิสัยจากไข่ที่ชอบทาน

ไข่ดาว ถ้าคุณชอบทำไข่ดาวมาก แสดงว่าคุณเป็นคนที่ชอบความท้าทายและเป็นคนที่มีความพยายามเป็นอย่างยิ่ง คุณนั้นเป็นคนที่กระตือรือร้นและไขว่คว้าหาโอกาสให้กับตัวเอง คุณจะไม่รอให้โอกาสต่างๆ เข้ามาหาคุณ คุณจะพุ่งเข้าใส่มันเอง


ไข่เจียว คุณเป็นคนที่มีความยุติธรรม เป็นนักวางแผน และนักคิดคุณมักคิดและทำอะไรอย่างเป็นระบบ คุณมีความเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง และคุณก็มักคิดว่า คนอื่นมักคิดเช่นเดียวกับคุณ


ไข่ต้ม คุณเป็นคนที่มีความอดทน หากคุณทำงานอะไรสักชิ้นหนึ่ง คุณก็จะทำให้มันเสร็จไปเลย ไม่ชอบที่จะค้างมันไว้ เพราะคุณจะหงุดหงิดกับมันมากหากคุณทำไม่สำเร็จ คุณมักจะใช้เหตุผลในการตัดสินใจทำอะไรสักอย่างอยู่เสมอ

ไข่ลวก แสดงว่า คุณเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเรื่องมาก ใครๆ ที่อยู่ใกล้ก็มักสบายใจ เพราะคุณไม่มีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มายุ่งให้รำคาญใจ คุณเป็นคนรักความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยแต่จะว่าไปแล้วคุณเเอง เป็นคนที่ค่อนข้างจะใจร้อนอยู่สักหน่อย



ไข่ยัดไส้ คุณเป็นคนที่มีการเตรียมพร้อม ชอบท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆแต่ในขณะเดียวกันต้องไม่เป็นที่ๆ ไม่ทำให้ลำบากเพราะคุณมักจะไม่ค่อยมีความอดทนกับเรื่องพวกนี้ แม้กระทั่งการทำงานก็เช่นกัน หากต้องทุ่มเทกับมันมากๆ คุณก็จะรับมันไม่ค่อยได้


ไข่ดิบ หากคุณจะเลือกทางเดินชีวิต คุณจะไม่สนใจคนอื่นๆ ว่าเขาเลือกกันอย่างไร คุณจะมีทางเดินของคุณโดยไม่แคร์สายตาคนรอบข้าง และคุณก็ไม่ชอบที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นด้วย

9 นิสัยที่ทำให้อ้วน


1. กินข้าวเร็ว จอมเขมือบตัวจริง กินเร็วมาก แทบจะไม่เสียเวลาเคี้ยว กินแล้วกลืน คนอื่นยังกินอยู่ เราก็เรียบร้อยแล้วจานแรก ทำไงละคราวนี้ ก็ไปเบิ้ลจานสองสิ เขาว่ากินข้าวเร็ว กระเพาะยังไม่ทันรับรู้ถึงความรู้สึกอิ่มเลย ดังนั้นค่อยๆ กิน ไม่ได้จะรีบไปไหน จะให้ดี ก็ทานน้ำเยอะหน่อย จะได้อิ่มไวๆ
2. ดูโทรทัศน์ไป กินไป เป็นสาเหตุใหญ่อีก เวลาดูกีฬา ถ้าจะให้สนุกต้องน้ำอัดลมกับขนมกรุบกรอบถึงจะเชียร์กีฬาสนุก แล้วเจ้า 2 ตัวนี้ ต่างก็แคลอรีสูงทั้งคู่เลย ปาเข้าไปไม่ต่ำกว่า 500 แคลอรี นี้เฉพาะอาหารว่างนะ แล้วที่กินเป็นอาหารหลักละ ไปแล้วเท่าไร ไม่อ้วนให้มันรู้ไป ของพวกนี้ เรียกว่า กินแล้วไม่ค่อยคำนึง เพราะกินไปเรื่อยๆมาเรียงๆ หมด ก็ไปเอามากินอีก ลองเปลี่ยนใหม่ได้ไหมว่า เชียร์กีฬาไป กินผลไม้ไป เป็นการเชียร์กีฬาเพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง อ้อ ส่วนเครื่องดื่ม น้ำเปล่าดีสุด
3. เสียดายของ ได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กว่า กินข้าวจะต้องกินให้หมดจาน อย่าเหลือทิ้งไว้ สงสารชาวนาที่ปลูกข้าว เต็มไปด้วยความยากลำบากกว่าจะได้ข้าวมาเม็ดหนึ่ง พอเรากิน แม้จะอิ่มแล้วแต่ก็ต้องกินให้หมด เฮ้อ บางทีนะ ลดความสงสารชาวนาลงหน่อย สงสารตัวเรามากขึ้น และทางที่ดี ตักข้าวแต่พอดี หรือไม่ก็บอกที่ร้านว่าข้าวไม่ต้องเยอะ แล้วก็ไม่ต้องใจดีไปช่วยคนอื่นรับผิดชอบส่วนที่กินเหลือหรอกนะ
4. เครียดแล้วกิน อันนี้เป็นโรคจิตแบบหนึ่งเลยนะ ประเภทประมาณว่าประชด เครียด ก็เอาอาหารเป็นที่ระบาย กินเอากินเอา อย่างอกหัก แทนที่จะกินข้าวไม่ลง ไม่เลย บอกตัวเองว่า กินเข้าไป กินเข้าไป กินมันให้ท้องแตกตายไปเลย สุดท้ายไม่ตาย แต่มานั่งกลุ้มใจกับน้ำหนักที่เพิ่มพูนขึ้น
5. ให้รางวัลโดยการกิน เป็นนิสัยหนึ่งที่ชอบนัก เวลาเราดีใจ หรือทำอะไรประสบความสำเร็จ ต้องมีการนัดฉลองกันหน่อย กินฉลองสอบได้ กินฉลองได้ลูกค้าใหม่ กินฉลองมีแฟนสวย กินฉลองวันเกิด กินฉลองวันเข้าพรรษา กินฉลองมันได้ทุกวัน ลองเปลี่ยนวิธีการให้รางวัลเป็นแบบของขวัญ หรือไปเที่ยว หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ต้องมาโยงกับการกิน ดีไหม
6. กินอาหารคาว ต้องตามด้วยของหวาน ไม่รู้ทำไมต้องเป็นสูตรแบบนี้ เหมือนตอนอยู่โรงเรียน จำได้ว่า พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ จะต้องตามด้วยของหวาน พวกกล้วยบวดชี บวดฟักทอง ถั่วดำ และอีกสารพัด กินแบบนี้มาอย่างต่อเนื่อง ลองเปลี่ยนของหวานเป็นผลไม้ดีกว่า แอปเปิ้ล ฝรั่ง แตงโม และอีกเยอะแยะ
7. กินบุปเฟ่ต์ต้องเอาให้คุ้ม กินเท่าไรก็ได้ อย่างนี้ต้องกินให้เยอะๆ เอาให้คุ้ม ตักพูนจาน กินจนหมด อิ่มแล้ว แต่ยังไม่คุ้ม ไปตักเอามากินอีก นี้ถ้าไม่เกรงใจ จะเอาใส่ถุงพลาสติกกลับบ้านอีกนะนี้นะ กินเข้าไป กินเข้าไป พอหันกลับมา เอ๊ะทำไมจานเนื้อจะท่วมมิดเราแล้วนะนี้ พอๆ เลิกนิสัยแบบนี้เถอะ ไม่ต้องเอาให้คุ้มนักหรอก สงสารร้านเขาบ้าง ไม่ใช่กินให้คุ้มแล้วแบบนี้ เป็นการกินให้ร้านเขาเจ๊งมากกว่า
8. ยอมแพ้อะไรง่ายๆ คือ หลายครั้งที่เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก พอมันไม่ค่อยลด ก็ท้อใจ หันกลับไปกินมากเหมือนเดิม แถมยังยอมรับอย่างน่าสลดว่า ความอ้วนยังไงก็ต้องอยู่ติดตัวคู่กับเราไปทั้งชีวิตแน่ๆ อย่าไปเชื่อยังงั้นสิ สู้ๆ เข้าไป สู้เข้าไป มันลดได้สิ ยอมแพ้วันนี้ก็ต้องแพ้มันไปตลอดกาล แต่หากสู้ เราก็ยังมีหวังเอาชนะได้
9. ออกกำลังกายแล้วกินเยอะขึ้น เป็นกันหลายคนจริงไหม คิดแต่ว่า เวลาออกกำลังกาย เราก็ใช้พลังงานไปเยอะแล้วนะ ให้รางวัลหน่อย กินเยอะขึ้นกว่าเดิม อ้วน ที่ออกไปคืนมาหมด เรียกว่าเป็นพวกออกสลึง กินบาท น่าเสียดายจริงๆ หลายคนคิดว่า เอ๊ะ การออกกำลังกายทำให้กินเยอะขึ้นหรือเปล่า ตอบเลยว่า ไม่จริง ที่กินเยอะ เป็นเรื่องของจิตใจเรามากกว่า ยกตัวอย่าง หากออกกำลังกายโดยการวิ่ง 1 ชั่วโมง อย่างมากก็ประมาณ 600 แคลอรี จำนวนเท่านี้ หากกินขนมกรุบกรอบกับน้ำอัดลม มันก็เกิน 600 แคลอรีแล้วละ

วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พบดาวดวงใหม่ ลักษณะคล้ายกับโลก

บรรดานักดาราศาสตร์ได้เผยการค้นพบดาวเคราะห์ดวงใหม่ ที่มีขนาดและลักษณะคล้ายกับโลกมากที่สุดเท่าที่เคยค้นพบมา และมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมกับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
โดยนักดาราศาสตร์ได้อธิบายเกี่ยวกับรายละเอียดของดาวดวงดังกล่าวว่า นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบและจับตาดูการเคลื่อนไหวของดาวดวงหนึ่งชื่อ กลีส 581 จี (Gliese 581g) ที่โคจรรอบดาวฤกษ์สีแดงที่เรียกว่า กลีส 581 (Gliese 581) ที่อยู่ห่างจากโลกประมาณ 20 ปีแสง หรือ 190 ล้านล้านกิโลเมตร ซึ่งดาวกลีส 581 จี ดวงนี้อยู่ในอวกาศเขตโกลดิล็อกส์โซน (Goldilocks zone) ซึ่งเป็นเขตที่มีอุณหภูมิไม่ร้อนและไม่เย็นเกินไป คืออุณหภูมิในชั้นบรรยากาศอยู่ระหว่าง -31 ถึง -12 องศาเซลเซียส และด้วยความที่มันหมุนรอบตัวเองช้ามาก ทำให้พื้นผิวมันมีอุณหภูมิที่แตกต่างกัน คือประมาณ 70 องศาเซลเซียสสำหรับด้านที่หันเข้าหาดวงอาทิตย์ของมัน และประมาณ -4 องศาเซลเซียสสำหรับด้านที่หันออกจากดวงอาทิตย์ของมัน ซึ่งถือว่าเป็นอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกับอุณหภูมิบนโลกมากที่สุด และสิ่งมีชีวิตสามารถอยู่ได้
สำหรับขนาดของมัน จะใหญ่กว่าโลกเล็กน้อย และอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลก โดย กลีส 581 จี อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ของมันเพียง 22.5 ล้านกิโลเมตรเท่านั้น ขณะที่โลกเราห่างดวงอาทิตย์ของเราถึง 150 ล้านกิโลเมตร ซึ่งนั่นส่งผลให้ กลีส 581 จี ใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์เพียง 37 วันเท่านั้น ขณะที่โลกใช้เวลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ถึง 1 ปี
ทั้งนี้ นักดาราศาสตร์ยังเปิดเผยอีกว่า นี่เป็นการค้นพบดาวดวงใหม่ที่แตกต่างจากทุก ๆ ครั้ง เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวดวงใหม่มาแล้วมากกว่า 400 ดวง ซึ่งแต่ละดวงก็มีลักษณะเหมือนกับดาวพฤหัส คือเป็นดาวที่รวมตัวกันจากแก๊สขนาดยักษ์ ซึ่งสิ่งมีชีวิตอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน การค้นพบ กลีส 581 จี จึงถือว่าเป็นการค้นพบที่น่ายินดี เพราะมันมีลักษณะใกล้เคียงกับโลกมากเลยจริง ๆ

10 สัญญาณเตือนโลกร้อน

เรามาดูกันว่า โลกส่งสัญญาณอะไรบ้างเพื่อเตือนให้มนุษย์หันมารักษาโลกนี้ไว้ก่อนจะสายเกินไป นักวิทยาศาสตร์ได้สรุป 10 สัญญาณเตือนภัยที่เกิดจากภาวะโลกร้อนไว้ดังนี้
คลื่นความร้อน แต่ละปีคลื่นความร้อนคร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก ปีที่ผ่านมาชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตด้วยคลื่นความร้อน 14 คน อินเดีย 100 กว่าคน ปากีสถาน 50 คน ฮังการีตายไปสูงสุด 500 กว่าคน และมีแนวโน้มว่าคลื่นความร้อนจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี
น้ำทะเลขึ้นสูง หลายประเทศกำลังเผชิญกับปัญหา และผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยที่กำลังเผชิญกับปัญหาน้ำทะเลขึ้นสูง น้ำท่วม และน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่ง
น้ำแข็งยอดภูเขาสูงละลาย น้ำแข็งที่ปกคลุมยอดภูเขาสูงกำลังละลาย เช่น ที่ยอดเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล และยอดเขาฟูจิ ประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น
โรคระบาด เกิดโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำ เช่น การแพร่ระบาดของโรคมาลาเรียในเขตหนาว อย่างกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ หรือญี่ปุ่น
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงเร็วกว่ากำหนด ส่งผลกระทบต่อวงจรชีวิตสัตว์ป่าที่ต้องอาศัยช่วงฤดูใบไม้ผลิเพื่อการเจริญเติบโตปรับตัวไม่ทันและสูญพันธุ์ไปในที่สุด
พืชและสัตว์เคลื่อนตัวไปทางเหนือ เมื่อพื้นที่ที่เคยหนาวเย็นทางตอนเหนือเริ่มมีความอบอุ่นมากขึ้น จึงพบพืชและแมลงที่ไม่เคยอาศัยอยู่ในพื้นที่นั้นมาก่อน เริ่มปรับตัวและมาอยู่อาศัยมากขึ้น
ปะการังฟอกขาว เกิดจากปรากฏการณ์ เอลนิญโญ่ - ลานิญญ่า แต่อีกปัจจัยหนึ่งเกิดจากกรดในน้ำทะเลที่เป็นผลมาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์บนชั้นบรรยากาศที่มีมากขึ้น
น้ำท่วมและพายุหิมะ ทั่วโลกกำลังเผชิญหน้ากับภัยพิบัติที่รุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น พายุเฮอร์ริเคน ฝนตกหนัก น้ำท่วม ดินถล่ม และพายุหิมะ
ภัยแล้งและไฟป่า สภาพอากาศโลกมีความชื้นน้อย ส่งผลให้เกิดความแห้งแล้ง ทำให้เกิดการแพร่ขยายของไฟป่าอย่างรวดเร็วและป้องกันได้ยาก
ในยุคนี้เราได้รับข้อมูลข่าวสารเรื่องภาวะโลกร้อนในลักษณะเช่นนี้มากขึ้น แต่มีคนจำนวนน้อยเหลือเกินที่หันมาเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อช่วยกันลดภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง อาจเพราะรู้สึกว่าทำไปก็ไม่มีผลอะไรเนื่องจากตัวการทำให้โลกร้อนที่แท้จริงคือภาคอุตสาหกรรม แต่จะรอภาคอุตสาหกรรมอย่างเดียวอาจไม่ทันการณ์ ทุกคนควรเริ่มเอาใจใส่เรื่องง่าย ๆ ใกล้ตัว เช่น แยกขยะ พยายามใช้ระบบขนส่งมวลชนให้มากขึ้น ใช้ไฟฟ้า น้ำประปาอย่างเห็นคุณค่า ฯลฯ ก็จะช่วยชะลอภาวะโลกร้อนได้ แม้จะไม่เห็นผลในเร็ววันหรือแม้กระทั่งในชั่วชีวิตของเรา แต่ทฤษฏี "เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว" นั้นยังใช้ได้อยู่เสมอ เพราะธรรมชาติมีผลกระทบกับชีวิตมนุษย์อย่างลึกซึ้ง และอนาคตของลูกหลานก็อยู่ในมือของคนในยุคนี้นี่เอง