วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ตะลึง! มนุษย์ปากกว้างที่สุดในโลก


เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา กินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ดได้บันทึกสถิติ สุดอึ้ง มนุษย์ที่ปากกว้างที่สุดในโลก ให้กับ ฟรานซิสโก โดมิโก โจเคียม หนุ่มวัย 20 ปีจากเมืองแซมบิแซงก้า ประเทศแองโกล่า ด้วยความกว้างของปากที่กว้างผิดมนุษย์มนา สร้างความตกตะลึงให้กับบรรดาผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก โดยปากของหนุ่มฟรานซิลโก เมื่ออ้าปากแล้วจะมีขนาดกว้างถึง 6 นิ้วครึ่ง สามารถมองเห็นฟันทุกซี่ ลิ้นไก่ และกระพุ้งแก้มได้อย่างเต็ม ๆ ตา และสามารถอมกระป๋องโซดาเข้าไปได้ทั้งกระป๋อง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสามารถอมแล้วคายมันออกมาได้ถึง 14 ครั้งต่อนาที และด้วยความแปลกประหลาดผิดมนุษย์มนาดังกล่าว ทำให้เขาได้รับการติดต่อจากรายการโทรทัศน์ประเทศอิตาลี ให้ไปโชว์ความแปลกประหลาดนี้ให้ชาวอิตาลีดูกันอย่างเต็ม ๆ ตา และได้รับการจดบันทึกในกินเนสส์บุ๊ค ปี 2011 ให้เป็นมนุษย์ปากกว้างที่สุดในโลก ซึ่งเขาก็ภูมิใจกับตำแหน่งนี้มาก เพราะในที่สุดฝันของเขาเป็นจริงแล้ว

วันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ร้องเพลง ช่วยลดอาการจิตหมกมุ่นได้


การร้องเพลงนั้นจะช่วยให้ สมองที่กำลังทำงานอยู่ในหลายอย่างหลายด้านให้หยุดการถูกครอบงำ และทำให้ความเครียดลดน้อยลงได้

เรือพลังแสงใหญ่สุดในโลก เตรียมออกท่องโลก












แพลนเนต โซลาร์ เรือพลังแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เตรียมตัวเดินทางจากโมนาโก ออกท่องโลกด้วยพลังงานธรรมชาติ เรือ แพลนเนต โซลาร์ เรือพลังแสงอาทิตย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ยาว 31 เมตร กว้าง 15 เมตร หนักราว 60 ตัน เตรียมออกเดินทางจากโมนาโก เพื่อไปท่องโลกด้วยการใช้พลังงานธรรมชาติจากแสงอาทิตย์ ที่ไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม โดย นายอิมโม สโตเฮอร์ นักธุรกิจชาวเยอรมัน และ นายราฟาเอล โดมยาน เจ้าของไอเดียชาวสวิส จะเป็นผู้โดยสารไปกับเรือลำดังกล่าว เพื่อพิสูจน์ว่า เรือของพวกเขาสามารถนำมาใช้ขนส่งได้จริง ทั้งนี้ เรือพลังงานแสงอาทิตย์ แพลนเนต โซลาร์ มีแผงโซล่าร์เซลส์ ติดอยู่บนดาดฟ้าของเรือ ทำให้เรือสามารถเดินทางได้ด้วยพลังงานธรรมชาติอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำมันหรือเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดมลภาวะ และแบตเตอรี่ของเรือก็สามารถกักเก็บพลังงานไว้ใช้ในการเดินทางได้เป็นเวลา 3 วัน จึงค่อยชาร์จพลังงานเข้าไปอีกครั้ง

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2553

7 อาหารต้านหวัดที่หากินได้ง่ายจริง ๆ

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยก็ดูเหมือนว่าคนใกล้ตัวจะเป็นหวัดกันมากขึ้น อย่ารอให้วัวหายแล้วล้อมคอก มาป้องกันหวัดกันตั้งแต่ตอนนี้ กับอาหารการกินกันเถอะ
1.โยเกิร์ต ไม่ว่าจะกินเปล่า ๆ หรือกินคู่กับซีเรียล และผลไม้ โยเกิร์ตก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนับล้าน ที่ปกป้องร่างกายจากแบคทีเรียอันตรายและเชื้อโรคต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทำร้ายเรา พวกมันเหมือนกองทหารที่อยู่ในลำไส้ คอยขับไล่สิ่งแปลกปลอมที่คิดร้าย โดยกองทหารพวกนี้ มีชื่อคุ้นหูว่า "โปรไบโอติกส์" ทั้งแล็กโตบาซิลลัส และไบไฟโดแบคทีเรียม ซึ่งจะไปเพิ่มเม็ดเลือดขาว ในร่างกายและป้องกันเชื้อโรคได้นั่นแหละ
2.บร็อกโคลี่ สีเขียวเข้มสวยกับใบพุ่มใหญ่ ๆ คอยบอกใบ้ว่าบร็อกลี่ดีต่อสุขภาพของเรามาก ๆ บร็อกโคลี่เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลผักกาด ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มากมาย และเป็นแหล่งของวิตามินเอ ซี อี นอกจากนี้ ยังมีสารกลูโคไซโนเลต สังกะสี และซีลีเนียม ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานจากเชื้อโรคต่าง ๆ ขอแค่เพียง บร็อกโคลี่วันละหนึ่งถ้วย เราก็ได้วิตามินซี เท่าที่ต้องการในแต่ละวัน ป้องกันเชื้อโรค และอาการอักเสบภายในร่างกายได้
3.ฟักทอง ท่องกันมาตั้งแต่เด็กว่าฟักทองมีวิตามินเอ และวิตามินเอนี่ล่ะที่ช่วยให้เซลล์ แต่ละเซลล์ของเราสื่อสารกันได้อย่างปกติ (จึงช่วยป้องกันมะเร็งด้วย) การกินวิตามินเอเป็นประจำจะทำให้ทางเดินหายใจมีสุขภาพดีอยู่เสมอ ซึ่งเหมาะกับหน้าหวัดเป็นอย่างยิ่ง แต่จุ๊ ๆ อย่าเพิ่งดีใจไป การกินวิตามินเอมากเกินไปไม่ดีเลยนะ มันอาจไปสะสมอยู่ในเซลล์ไขมัน และเมื่อมีมาก ๆ ก็เป็นอันตรายได้ ถ้าใครคิดอยากกินวิตามินเอจากแคปซูล ก็น่าจะลองกินฟักทองดีกว่านะ ปลอดภัยกว่ากันเยอะ

4.พริกหวานสีแดง ถ้าเทียบกันแบบนักมวยกิโลฯ ต่อกิโลฯ พริกหวานสีแดงมีวิตามินซีมากกว่าผักและผลไม้อื่น ๆ ถึงสองเท่า วิตามินซี เป็นที่รู้จักดีในฐานะวิตามิน เพื่อดูแลผิวพรรณ ดังนั้น เมื่อผิวพรรณแข็งแรง ก็เท่ากับว่าปราการด่านแรกของร่างกายแข็งแรงไปด้วย นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดขาวและการสร้างแอนตี้บอดี้ด้วยนะ
5.ขมิ้น ใครนึกไม่ออกว่าจะกินขมิ้นอย่างไรก็ควรจะลองกินแกงกะหรี่สีเหลืองดู และสาเหตุที่ขมิ้นมีสีเหลืองออกทองก็เป็น เพราะสารเคอร์คิวมินซึ่งเป็นโพลิฟีนอลตัวหนึ่งนี่เอง โดยการศึกษาในปี 2008 จาก Biochemical and Biophysical Research Communications ชี้ว่าสารเคอร์คิวมินนี้ช่วยไม่ให้เกิดการอักเสบในร่างกายได้ สำหรับผงขมิ้นแล้ว ถ้าใช้ภายนอกจะมีคุณสมบัติเป็นยาฆ่าเชื้ออีกด้วย...วิเศษสุด ๆ
6.หอยนางรม อย่าเอ็ดไป แต่เขาบอกว่า หอยนางรมคือยาปลุกพลังชั้นดีที่สุดที่มีอยู่ตามธรรมชาติ เพราะสังกะสีที่มีอยู่ในหอย จะช่วยปลุกฮอร์โมนเทสทอสเทอโรนให้แก่ทั้งชายและหญิง หุหุ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ประเด็นอยู่ที่ว่า สังกะสีช่วยปกป้องเราจากหวัดและไข้หวัดใหญ่ได้ต่างหาก มันจะทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ดีขึ้น เพื่อตักจับและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย แต่ทั้งนี้ FDA เขาก็เตือนมาว่าอย่ากินสังกะสีเกินวันละ 11 มิลลิกรัม ไม่งั้นมันจะเป็นพิษ โดยหอยนางรมตัวปานกลางหนึ่งตัวจะมีสังกะสีมากถึง 12.7 มิลลิกรัม มากกว่าปริมาณที่สาว ๆ ต้องการในหนึ่งวันอีกนะ ดังนั้น 1 วัน 1 ตัว ก็พอแล้วล่ะค่ะ
7.ชา เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ยอดนิยมรองลงมาจากน้ำเปล่า ชาทั่วไปจะมีสารโพลีฟีนอลซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยฆ่าแบคทีเรีย ไวรัส และยับยั้งอาการอักเสบ นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญยังเชื่อว่าประโยชน์ส่วนหนึ่งของชาอยู่ที่ความอุ่น สำหรับคนที่เป็นหวัดแล้ว เครื่องดื่มหรือน้ำซุปอุ่น ๆ จะให้ความรู้สึกไหลลื่น และการสูดเอาไออุ่น ๆ จากชาเข้าไปก็จะช่วยให้โล่งจมูกได้มาก อย่างไรก็ดี การเติมนมลงไปในชา อาจทำให้ร่างกายของเราดูดซึมสารคาเตชินได้ไม่มากเท่าที่ควร ดังนั้น ถ้าอยากต้านหวัดจริง ๆ ก็ดื่มชาอุ่น ๆ ธรรมดาดีกว่านะ

อุโมงค์ยาวที่สุดในโลก

สำเร็จ! สวิตเซอร์แลนด์ ขุดเจาะอุโมงค์ยาวที่สุดในโลก ลอดใต้เทือกเขาแอลป์ หลังใช้เวลาสร้างนานกว่า 15 ปี
เมื่อวันที่ 16 ต.ค.53 ที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นายโมริตซ์ เลออึนเบอร์เกอร์ รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ของสวิตเซอร์แลนด์ ได้ประกาศความสำเร็จในการขุดเจาะอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในโลก หลังจากเครื่องขุดเจาะขนาดยักษ์ทะลวงกำแพงหินชั้นสุดท้ายจนอุโมงค์สามารถทะลุถึงกันได้ ท่ามกลางความยินดีของคนงานและสื่อมวลชนที่ร่วมมาเป็นสักขีพยานจำนวนมาก สำหรับอุโมงค์ดังกล่าว ถูกขุดเจาะลึกจากพื้นดินถึง 2,000 เมตร ลอดใต้เทือกเขาแอลป์ บริเวณหมู่บ้านเซดรัน ใช้คนงานก่อสร้างราว 2,500 คน เป็นเวลานาน 15 ปี ระยะทางยาว 57 กิโลเมตร ซึ่งอุโมงค์ดังกล่าวนี้จะถูกใช้เป็นเส้นทางรถไฟใต้ดินความเร็วสูง เชื่อมต่อระหว่างยุโรปเหนือและยุโรปตะวันออกเฉียงใต้
คาดเปิดให้บริการปี พ.ศ.2560

วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2553

October 15 hands on the world.

Date Hand World (Global Hand Washing Day) falls on October 15 of each year is being held for the first time in 2008 at the City of Stockholm, Sweden by the General Assembly or the UN at the same time have been assigned to the year 2008 are In keeping with the international health. To stimulate the world realize the importance. Of hand washing with soap that Will help prevent the disease. As well as to create a culture Wash your hands clean and hygienic throughout the world.

The results showed that washing even easier, but most people to not do well and that can reduce the chance infection different to almost 50% by UNICEF indicate that each year the children age. Less than 5 years die from diarrhea to nearly 2 million people from pneumonia and another approximately 2 million people with water and soap to wash hands correctly. Will help reduce deaths from diarrhea by up to 50% from pneumonia and another approximately 25%, so the core of global hand washing day. Need to focus a group of students. Hope is to increase the number of children who have a habit of hand washing with soap more than 70 countries.

In Thailand it Ministry of Health. The importance of hand washing by all. Which can be seen from public relations campaign through various media and activities. Global hand washing day. The first time on 15 October 2009, at Children's Discovery Museum, Chatuchak, which in a campaign to work with young Thais. The importance of proper hand washing methods.

For the hands correctly. Experts indicate that Should be used with soap. Not just use plain water alone. And to rub all over your hands. Well below the hand for at least 20 seconds more than is necessary, the hands must be brought in after the end of major events such as after the toilet. After washing and cleaning babies hands before handling food into the mouth etc.

วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

สำเร็จแล้ว! ภารกิจช่วยคนงานเหมืองชิลีทั้ง 33 คน



หลังจากคนงานเหมืองชาวชิลี 33 คน ต้องติดอยู่ภายในเหมืองที่ลึกลงไปเกือบ 700 เมตร นานกว่า 69 วันแล้ว โดยกองทัพเรือชิลีได้เร่งออกแบบ และจัดสร้างแคปซูลโลหะที่ผลิตขึ้นมาพิเศษ เพื่อจะใช้หย่อนลงไปช่วยนำคนตัวคนงานออกมาทีละคน โดยภารกิจช่วยคนงานเริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่
13 ตุลาคม ล่าสุดวันนี้ (14 ตุลาคม) ภารกิจช่วยคนงานเหมืองชิลี ทั้ง 33 คนสำเร็จแล้ว โดยเมื่อเวลา 07.56 น. การช่วยเหลือคนงานคนสุดท้าย คือ นายหลุยส์ อูร์ซัว วัย 54 ปี หัวหน้าคนงาน ที่สมัครใจรับความช่วยเหลือเป็นคนสุดท้ายขึ้นสู่พื้นดินสำเร็จ ทั้งนี้นายหลุยส์ เป็นคนที่เขียนแผนผังบอกจุดที่คนงานติดอยู่ในโลกภายนอกได้รับทราบ อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้ที่ให้กำลังใจลูกน้องทั้ง 32 คน ในช่วง 17 วันแรกที่ยังไม่สามารถติดต่อโลกภายนอกได้ ซึ่งหลังจากนายหลุยส์ ฮูร์ซัว ขึ้นมาแล้ว ด้านบนก็ได้มีการร้องเพลงชาติ และเปิดแชมเปญฉลอง ก่อนที่แคปซูลจะลงไปลำเลียงเจ้าหน้าที่แพทย์อีก 2 คนที่อาสาลงไปช่วยเหลือคนงานทั้ง 33 คนเป็นลำดับต่อไป สำหรับภารกิจครั้งนี้เร็วกว่าที่คาดการไว้ ใช้เวลาเพียงแค่ประมาณ 22 ชั่วโมงเท่านั้นเอง และขณะที่เจ้าหน้าที่นำผู้ที่ติดอยู่ในเหมืองเข้ารับการรักษาพยาบาลแล้ว ซึ่งจากการตรวจสุขภาพเบื้องต้นทุกคนสุขภาพดี ยกเว้นคนงานเหมืองที่อายุน้อยที่สุดที่อาจจะยังช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เบากว่าอากาศ แต่ถ้าพลาดถึงกับระเบิด

ก๊าซ เป็นสถานะหนึ่งของสสาร ซึ่งมีของแข็ง ของเหลว ก๊าซ และพลาสม่า คุณสมบัติของก๊าซที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ มองไม่เห็นค่ะ จับต้องก็ไม่ได้ ประหนึ่งเหมือนอากาศ ลอยไปลอยมา น้ำหนักก็เบาๆ คงรู้จักก๊าซกันอยู่เยอะหล่ะ อย่างน้อยๆ ก็ต้องก๊าซที่เราใช้หายใจอย่างก๊าซออกซิเจน พอปล่อยออกมาก็เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หมุนไปมาอย่างนี้ แต่ว่าก๊าซแม้จะเบาแล้ว ก็ยังมีก๊าซที่เบาที่สุดด้วย แถมคุณสมบัติของก๊าซชนิดนี้ ก็ยังไม่ธรรมดาอีกด้วย!!
ก๊าซที่ว่านั่นก็คือ ก๊าซไฮโดรเจน (Hydrogen) หรือ H2 ค่ะ ถือว่าเป็นก๊าซที่เบาที่สุดในบรรดาก๊าซต่างๆ นอกจากจะเบาที่สุดแล้ว ก็ยังไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และเผาไหม้ได้ดีโดยไม่มีมลพิษหลงเหลือ ตอนนี้เค้าก็เลยนำก๊าซไฮโดรเจนมาพัฒนาใช้เป็นพลังงานทดแทน เช่น รถยนต์ก๊าซไฮโดรเจน เครื่องบินก๊าซไฮโดรเจน ฯลฯ ได้ยินอย่างหลายคนคงอยากเปิดปั๊มไฮโดรเจนกันใช่ไหมล่ะ เผื่ออนาคตจะมีรถที่ใช้พลังงานไฮโดรเจนเยอะขึ้น
รวยแน่ๆ แต่ว่า จะหาก๊าซไฮโดรเจนนี่มาจากที่ไหนล่ะ??
ก๊าซนี้ ก็ทำได้โดยใช้สารละลายกรดไฮโดรคลอริกหยดลงบนแมกนีเซียมจนเกิดฟอง นั่นก็ คือ ก๊าซไฮโดรเจน หรือจะหยดสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ลงบนอะลูมิเนียมก็ได้เหมือนกัน แต่ต้องระวังนะคะ!!! เพราะว่าก๊าซนี้มีคุณสมบัติเผาไหม้ได้ดี ติดไฟง่าย ถ้าพลาดขึ้นมา เกิดระเบิดเอาได้นะคะ

ภาพเครื่องบินก๊าซไฮโดรเจน Hindenburg ของเยอรมันระเบิดเมื่อปี ค.ศ.1737

ขณะลงจอดที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ สหรัฐอเมริกา

ภัยของน้ำยาบ้วนปาก

การใช้น้ำยาบ้วนปากติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ จะทำให้ไปทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ดี ที่อาศัยอยู่ในปากให้ตายไปด้วย อาจนำมาซึ่งเชื้อราในช่องปาก ทำให้ตุ่มรับรสของลิ้นเพี้ยนไป มีสีเคลือบผิวฟันที่เปลี่ยนแปลง หรือทำให้เกิดหินปูนได้ง่าย
ส่วนยาสีฟันที่อ้างว่าว่า สามารถลดแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นปากได้ นั้น ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันชัดเจนว่า ยาสีฟันจะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อในปากได้ ซึ่งประสิทธิภาพของยาสีฟันที่อ้างว่าลดแบคทีเรีย ไม่แตกต่างกับการแปรงฟันด้วยยาสีฟันอะไรก็ได้อย่างถูกวิธี และใช้ไหมขัดฟันในซอกฟันส่วนที่แปรงไปไม่ถึง

กลิ่นปาก เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในช่องปากชนิดที่ไม่ใช้ออกซิเจน ผลิตก๊าซในกลุ่มซัลเฟอร์ กลิ่นปากยังเกิดได้จากผู้ป่วยมีโรคอื่น ๆ อยู่ก่อนแล้ว เช่น โรคกรดไหลย้อน หากรักษาโรคเหล่านั้นกลิ่นปากก็จะหายไป รวมทั้งกลิ่นปากจากโรคในช่องปาก เช่น โรคปริทนต์ โรคเหงือก ฟันผุ ฯลฯ

วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ออสซี่จัดแข่งวิ่งด้วยรองเท้าส้นสูง

กินเนสส์บุ๊คเรคคอร์ด บันทึกสถิติวิ่งผลัดด้วยรองเท้าส้นสูงเร็วที่สุดในโลก หลังจาก 4 สาวจากแคนเบอร์ร่า ประเทศออสเตรเลีย ได้ทำสถิติวิ่งผลัด 4 คูณ 80 เมตร ด้วยรองเท้าส้นสูงได้ภายในเวลาเพียง 1 นาที 4 วินาที โดยมีกติกาในการแข่งขัน คือ จะแบ่งผู้แข่งขันออกเป็นทีมละ 4 คน ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องใส่รองเท้าส้นสูง 2 นิ้วขึ้นไปเข้าร่วมการแข่งขัน งานนี้ก็เลยสร้างความลำบากใจและความกดดันให้กับสาว ๆ ไม่น้อย เพราะการวิ่งด้วยรองเท้าส้นสูงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ หากหกล้มข้อเท้าพลิกขึ้นมาก็อาจไม่คุ้มกันสักเท่าไรนัก แต่เมื่อเริ่มแข่งแล้ว สาว ๆ ทุกคนก็ทำได้อย่างเต็มที่ บางคนก็กลัวหกล้ม แต่บางคนก็วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตกันเลยทีเดียว










และสำหรับรางวัลชนะเลิศในเกมนี้ ได้แก่ บริทนีย์ แม็คโกลน, ลอร่า จูลิฟฟ์, แคซีย์ ฮอดจ์ และ เจสสิก้า เพนี่ โดยทั้ง 4 คนได้รับเงินรางวัลรวมกัน 10,000 ดอลลาร์ออสเตรเลีย และนอกจากเงินรางวัลดังกล่าว พวกเธอยังได้เป็นเจ้าของสถิติวิ่งด้วยรองเท้าส้นสูงเร็วที่สุดในโลกไปครองอย่างไม่ทันตั้งตัวอีกด้วย

ทำไมต้องร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ

















ส่วนเจ็ดย่านน้ำ นั้นก็มีความหมายว่ามากมายดุจเดียวกัน เพราะในทัศนะของคนโบราณเลข ๗ นั้นก็หมายความว่ามาก สังเกตได้จากคนเราจะจัดสิ่งของในหมวดหมู่เดียวกันอย่างมากเราก็จำได้ไม่เกิน ๗ สิ่ง ตัวอย่างเช่น สิ่งมหัศจรรย์ทั้ง ๗ สโนวไวท์กับคนแคระทั้ง ๗ สัปดาห์หนึ่งมี ๗ วัน ดังนั้นถ้ามากกว่า ๗ ก็มักจะจำไม่ได้ ดังนั้นเลข ๗ จึงนับว่ามากแล้วในสมัยโบราณ เจ็ดย่านน้ำ จึงหมายถึง บริเวณที่กว้างและครอบคลุม ๗ ย่านน้ำ
๗ ย่านน้ำในสมัยก่อนมักจะหมายถึง ทะเลแดง ทะเลเมดิเตอเรเนียน ทะเลอาหรับ ทะเลดำ ทะเลอาเดรียติค ทะเลแคสเปียน และมหาสมุทรอินเดีย ดังนั้น เราจึงใช้ ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำด้วยประการนี้ บ้างก็ใช้ ร้อยเอ็ดเจ็ดพระนคร ร้อยเอ็ดเจ็ดคาบสมุทร ก็ได้ พอกล่าวถึง ๗ ย่านน้ำ ก็นึกถึงคำว่า "ชักแม่น้ำทั้ง ๕" ก็จึงสงสัยใครรู้ว่า แม่น้ำทั้ง ๕ นั้นคือ แม่น้ำอะไร ประกอบด้วย แม่น้ำคงคา แม่น้ำอนมา แม่น้ำอจิรวดี แม่น้ำสรภู แม่น้ำมหิ ซึ่งอยู่ที่อินเดียชักแม่น้ำทั้ง ๕ มีความหมายว่า พูดจาหว่านล้อม ไม่พูดตรงๆ อ้อมๆ ก่อนเข้าสู่เป้าหมาย พบการใช้ครั้งแรกในชาดกเรื่องพระเวสสันดรนอกจากนี้ยังมีตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่ามากมายอีกหลายตัวเลขเช่นร้อยแปดพันเก้า ร้อยวันพันปี ตัวเลขที่เราคิดว่ามากในสมัยก่อนนั้นก็ไม่เกินพันหลักร้อยพันก็มากแล้วในสมัยก่อน